รีวิวหนัง






แม่นาคพระโขนง” คือตำนานผีที่น่าจะเรียกได้ว่าดังที่สุดในไทย ถูกสร้างเป็นหนังมาแล้วหลายครั้งมาก (รวมถึงละครและละครเวที) ซึ่งก็มีการตีความที่แตกต่างกันออกไป ทั้งแบบตามตำนานดั้งเดิมอย่าง “แม่นาคพระโขนง” แบบจริงจังอย่าง ”นางนาก” แบบปัจจุบันอย่าง ”นาค รักแท้/วิญญาณ/ความตาย” หรือไปไกลสุดกู่อย่าง “แม่นาคอเมริกา” ก็เคยมาแล้ว แต่ที่เหมือนกันในทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมา คือส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ตัว “แม่นาค” เท่านั้น แต่ “พี่มาก..พระโขนง” (ของแท้ต้องมีจุด 2 จุด) เลือกที่จะตีความต่างออกไปอีกด้วยการไปเน้นที่ตัว “พี่มาก” แทน อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่มีการตีความมาแล้วหลายแบบ ส่วนตัวเลยอาจไม่ได้ตื่นเต้นรู้สึกพิเศษอะไรกับการตีความแบบพี่มากนัก แต่สิ่งที่ดึงดูดให้อยากไปดูเรื่องนี้จริงๆ ก็คือ การนำแ๊ก๊งค์สี่แพร่งและห้าแพร่ง มาใส่ไว้ในเรื่องด้วยในบท “เพื่อนพี่มาก” 



หากใครเคยประทับใจบทบาทของ เผือก (พงศธร จงวิลาส) ชิน (อัฒรุต คงราศรี) เต๋อ (ณัฎฐพงษ์ ชาติพงศ์) และเอ (กันตพัฒน์ สีดา) จาก “คนกลาง” ในสี่แพร่ง และ ”คนกอง” ในห้าแพร่ง บอกได้เลยว่าจะไม่ผิดหวังกับบทบาทของพวกเขาในพี่มาก..พระโขนง ทั้ง 4 คนยังคงคาแรกเตอร์แบบเดิม ชื่อเดิม และความฮาแบบเดิม (และดูเหมือนจะยิ่งกว่าเดิม) ไว้ไม่มีเปลี่ยน เพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนจากการเที่ยวป่า หรือถ่ายหนัง มาเป็นเพื่อนกับพี่มากแทน ที่ต้องพยายามหาทางบอกมากให้ได้ว่านาคเป็นผี นำมาซึ่งเสียงหัวเราะในแทบทุกฉากที่ 4 คนนี้ออกมา โดยเฉพาะเผือกกับชินนี่แค่เห็นหน้าก็ฮาแล้ว หลายฉากโดยเฉพาะฉากกินข้าวหรือฉากบนเรือนี่ฮากันแบบ Non-Stop เลยทีเดียว



อันที่จริง มุขตลกและเหตุการณ์หลายอย่างของ 4 คนนี้ในพี่มาก..พระโขนง ชวนให้นึกถึงคนกองและคนกลางไม่น้อย ผู้กำกับ “บรรจง ปิสัญธนะกุล” เลือกหยิบเอาวัตถุดิบเดิมๆ ที่เคยใช้มาใช้ใหม่อีกครั้ง ในสถานการณ์แบบเดิมๆ ซึ่งถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อการถูกหาว่า ”หมดมุข” หรือ ”หากินกับของเก่า” มาก แต่ก็ถือว่าทั้งผู้กำกับและทีมงานทำการบ้านมาดี เลยทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อกับมุขเก่าๆ เหล่านี้นัก แต่กลับรู้สึกเหมือนย้อนรำึลึกความหลังเก่าๆ แทน



อย่างไรก็ตาม ความเข้าขาและความฮาของแก็งค์ 4 คนนี้ ก็ชวนให้อดหวั่นใจไม่น้อยก่อนเข้าไปดูว่า จะแย่งซีน พี่มาก (มาริโอ้ เมาเร่อ) และ แม่นาค (ดาวิกา โฮร์เน่) ไปหมดหรือป่าว ซึ่งก็พบว่า “จริง” แม่นาคอาจถือว่ารอดตัวไปเพราะความสวยของใหม่จับตาจริงๆ ในทุกซีนที่ออกมา แต่กับมาริโอ้ในบทพี่มาก แม้จะตีความพี่มากเวอร์ชั่นใหม่ได้น่ารัก (และบ๊องแบ๊ว) ได้ดีไม่น้อย แต่ก็ยอมรับว่าช่วงแรกโดนแก๊งค์ 4 คนแย่งซีนไปเยอะทีเดียว เรียกได้ว่าแม้จะใช้ชื่อเรื่องว่าพี่มาก..พระโขนง แต่ตัวเดินเรื่องจริงๆ กลับเป็นเหล่าเพื่อนพี่มากไปแทน แต่ถึงกระนั้นพี่มากกับแม่นาคก็สามารถกลับมายึดจออย่างเต็มภาคภูมิในช่วงท้ายเรื่อง



โดยส่วนตัว แม้พี่มาก..พระโขนง จะมีหน้าหนังที่ขายความตลก (บวกน่ากลัว) ซึ่งยอมรับว่าทำได้ดีทีเดียว แต่สิ่งที่ชอบที่สุดคือ “ความรัก” ของพี่มากและนาคที่ส่งมาถึงคนดูอย่างเราในช่วงท้ายเรื่อง เป็นช่วงที่หนังละวางความตลกและความน่ากลัว แต่มาโฟกัสที่ความรักแทน บทบาทของพี่มากและนาคที่ดูเหมือนจะกดไว้โดยความตลกของแก๊งค์สี่แพร่งในช่วงที่ผ่านมา ได้ฉายแสงออกมา และเป็นแสงที่น่าประทับใจเสียด้วย อย่างที่บอก หนังเรื่องนี้ใช้วัตถุดิบเก่าๆ จากสี่แพร่งและห้าแพร่งเสียเยอะ แม้แต่ในส่วนของตำนานแม่นาคเอง นอกจากความสมัยใหม่ในแง่คำพูดและคาแรกเตอร์ตัวละคร ที่เหลือก็ยังคงตามเส้นเรื่องตำนานเช่นเดิม ฉากจำต่างๆ เช่นความเฮี้ยนหรือเก็บมะนาวก็ยังคงไว้ตามเดิม ส่วนที่เปลี่ยนจริงๆ มีนิดเดียวช่วงท้ายเรื่อง แต่มันเป็นการเปลี่ยนที่ Impact และสดใหม่มาก จนทำให้อภัยและลืมการใช้มุขเก่าๆ ที่ผ่านมาในเรื่องทั้งหมด


การเลือกเปลี่ยนบางส่วนในช่วงท้ายเรื่อง ทำให้พี่มาก..พระโขนงแตกต่างจากแม่นาคทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมา และทำให้เรารู้สึก “ซึ้ง” ไปกับความรักของมากและนาคเป็นอย่างมาก ที่จริงการที่นาคเลือกจะยังคงอยู่ ก็เพราะ “ความรัก” ที่มีต่อมาก แต่ที่ผ่านมา เรากลับไปติดกรอบที่ว่า ”ผี” กับ “คน” อยู่ร่วมกันไม่ได้ จะอยู่ร่วมกันได้ก็แต่ในสถานะที่ผีเป็นคนรับใช้ของคนอย่างเช่นกุมารทองเท่านั้น แต่กับผีอย่างแม่นาค ที่อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ที่มี ทำให้ชาวบ้านมองว่าแม่นาคมีสถานะที่ต่างไปจากคน และในเมื่อแม่นาคไม่ได้ควบคุมได้หมือนกุมารทอง ลงท้ายก็เลยกลายเป็นความกลัวและต่อต้าน ความรักในหนังแม่นาคเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่ผ่านมา จึงมักลงท้ายด้วยการให้แม่นาค “เสียสละ” ความรักแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

ช่วงท้ายของพี่มาก..พระโขนงคือการกลับมาสู่สาเหตุของเรื่องราวนั่นก็คือ “ความรัก” เมื่อหนังเริ่มต้นด้วย “ความรัก” ก็ควรจบลงด้วย “ความรัก” ไม่ใช่ “ความกลัว” พี่มาก..พระโขนง จบลงอย่างสวยงามมากๆ ด้วยการโยนประเด็นเรื่อง “ความรัก” กลับมาให้เราคิดว่า ที่ว่ารักกันนั้นมันจำกัดอยู่เพียงแค่ “คน” เหรอ เรารักที่ตัวเขาหรือแค่ความเป็น “คน” ในตัวเขา หนังทำให้เราเห็นว่าความรักไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นั้น และในเมื่อทั้งคนทั้งผีต่างก็มีความรักได้ “ความรัก” นี่เองจึงเป็นเหมือนตัวที่ทำให้สถานะของ “คน” และ “ผี” ที่ดูเหมือนจะไม่เท่ากันให้เท่ากันได้ การแสดงออกความรักที่พี่มากมีต่อแม่นาคจึงเป็นส่วนที่ประทับที่สุดในเรื่องนี้ และเชื่อว่าทุกคนน่าจะประทับใจเช่นกัน นอกเหนือจากความสนุกและฮาที่แ๊ก๊งค์สี่แพร่งจัดให้เรา





รีวิว Homestay -- (หนังไทยอาร๊ายยย แปลก แหวก กล้า สุด นานๆทีจะมีหนังไทยดีๆสักเรื่องออกมาให้ชมกัน และขอยกเรื่องนี้ให้เป็นหนังที่โคตรของโคตรดีของ GDH ไปเล๊ยยยย)

.. Homestay หนังว่าเล่าด้วยเรื่องราวของ วิญญานเร่ร่อนตนหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน หนังไม่ได้บอก ตื่นขึ้นมาในร่างของมินแบบมึนๆ โดยมีภารกิจสั้นๆง่ายๆ ให้วิญญาณตนนี้ทำคือสืบหาให้ได้ว่า ใครฆ่าประเสริฐ....(คนละเรื่องละไอเฮี๊ยย!!!) สืบให้ได้ว่ามินตายเพราะอะไร โดยให้เวลา 100 วัน มิเช่นนั้น วิญญาณตนนี้จะกลายเป็นวิญญานที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดไปตลอดชีวิตตตต โอ๊ยยย เอาจริงๆแค่ได้ดูตัวอย่างก็โคตรน่าดูแล้ว ไม่ต้องถามเลย ผมนี่รีบไปรอตั้งแต่ห้างยันไม่เปิด (อะไรมันจะขนาดนั้น) เรื่องย่อเอาแค่นี้พอละไม่เล่าาาละ เดี๋ยวจะหาว่าเป็นการสปอยล์ซะเปล่าๆ ไปลุ้นเอาเองว่าจะเจออะไรในหนังดีกว่า ความรู้สึกตอนหนังเปิดมานี่นึกว่าหนัง สยองขวัญ สืบสวนสอบสวนรึเปล่าวะ เอ๊ะหรือเข้ามาดูผิดเรื่อง 5555555555555 ไล่ระดับความชวนลุ้นน่าติดตาม หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะได้โคตรดีแถมบทยังมา

.. สิ่งที่ผมคิดในตอนที่ได้ดูแค่ตัวอย่าง ผมคิดว่าเออGDH เริ่มทำหนังแหวกๆพอสำควรเลย คือปกติ GDH ในมุมองผมมันเป็นหนังแบบ อารมณ์ Feel Good ครอบครัวสุขสันต์ Happyอะไรแบบนั้น แบบที่เราชอบ แต่พอได้ดูจริงๆเนื้อหาของหนังมันยังคงมีกลิ่นอายความเป็น GDH มาผสมอยู่ ยิ่งเรื่องมุมมอง มุมภาพอะไรแล้วเนี่ย ถ้าติดตามหนังของค่ายนี้มารู้สึกจะรู้เลยว่า เออมุมแบบนี้อะ GDH แสงแบบนี้อะGDHแน่นอน แต่สิ่งที่พิเศษสำหรับหนังเรื่องนี้เลยคือ GDHกล้าทำอะไรที่แตกต่างจากหนังเรื่องก่อนๆมาก ทั้งเนื้อหา บท ที่สำคัญเลย CG แบบดูแล้วเฮ้ยย มาไกลเหมือนกันนะหนังไทยบ้านเรา ทำสวยสมจริงอะ แล้วก็ทำถึงด้วยนะ คือในตัวอย่างมันมีนะไอฉากบนตึกอะ CGอย่างดีจริงๆ แต่บอกเลยว่าเนื้อหาของหนังมันดีและน่าจดจำกว่า CGมันเป็นส่วนประกอบในการใส่ลงไปในหนังเท่านั้นเอง ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะการแสดงของ พระเอกของเรื่อง เจมส์ ธีรดนย์ พูดตรงๆว่าผมไม่ค่อยได้ดูผลงานของเจมส์สักเท่าไหร่ เท่าที่จำได้ผมดูฉลาดเกมส์โกงไป คือผลงานที่เห็นล่าสุด เลือดข้นคนจางผมยังไม่ได้ติดตามเลยแฮ่.. บอกตรงๆเลยว่าการแสดงดีมากๆ มีสเน่ห์น่าดึงดูดจริงๆ ผู้หญิงที่นั่งด้านหลังผมนี่คิกคัก

อะต่อปายยย มาถึงนักแสดงของขวัญใจโอตะไทยแลนด์กัน พบกับ เฌอปราง ผ่าม ผ่าม!!! ขวัญใจของใครหลายๆคน บอกเลยว่าผมเองก็เป็นแฟนคลับคนนึงเลยแหละ เห็นว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ได้มาแสดงด้วย ทำได้ดีเพอร์เฟคเลย ถึงบางฉากบางตอนจะดูแปลกไปนิดๆบ้างแต่ไม่เป็นไร ให้อภัย ฮิ การแสดงค่อนข้างบอกเลยว่าเหมาะกับการเป็นนักแสดงหนังอะไรแบบนี้มากกว่า ถ้าแสดงละครก็จะดูเป็นอีกฟีลนึงไปเลย บอกเลยว่าเฌอปรางในลุคชุดนักเรียนเป็นอะไรที่ น่ารักมาก วัยใสๆเเบบมัธยมเลยจริงๆ โอตะต้องใจละลายแน่นอนเชื่อได้ หวังว่าในอนาคตคงได้เห็นเฌอปรางแสดงอีกหลายๆเรื่องแน่ๆ

..ในส่วนของเนื้อหาที่บอกไปด้านบนว่าหนังมันยังคงมีกลิ่นอายของ GDH ในเรื่องของฟีลกู๊ด อารมณ์ครอบครัว คือไม่ว่าจะเป็นหนังแนวไหนเรื่องอะไร ทุกเรื่องของค่ายนี้มันต้องมีฉากที่ทำให้คนมีความสุขยิ้มได้ทุกเรื่องตลอด ตั้งแต่ สุข ทุกข์ ร้องไห้ แฮปปี้ มันเป็นระดับที่ทุกๆคนน่าจะรู้ๆกันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไล่ระดับได้ดีนะ เปิดมาสยองขวัญ แล้วก็ค่อยๆไล่ลงไปเรื่อยๆ ฉากตกใจก็มี ฉากท้ายๆก็น้ำตานองอาบสองแก้ม ! ไม่รู้ทำไมค่ายนี้ทำดราม่าเรื่องครอบครัวอะไรแบบนี้ อารมณ์นี่มาสุดจริงๆ ทั้งนักแสดง บท เสียงประกอบ บอกเลยยเสียงประกอบนี่เป็นอะไรที่ทำให้อารมณ์คนดูมันพลุ่งพล่านมาก บีบคั้นจริงๆ (เออที่ดูๆมาคือ ผมอยากเสริมเข้าไปว่า ในหนังเนี่ยทำไมทำนู้นทำนี่ถึงมีเสียงด้วย ทั้งที่เห็นสิ่งนั้นอยู่ไกล แล้วทำแบบนั้น เสียงเป็นแบบนี้จริงเหรอ คืองี้ครับมันมีอาชีพนึงที่ไว้สำหรับทำเสียงของสิ่งนั้นๆเลยนะ ไม่เชื่อลองไปหาดู เป็นอาชีพทำเสียงประกอบหนัง แล้วในหนังก็จะใส่ซาวด์เข้าไปครับ)

 สรุป  จริงๆอยากให้คะแนนเต็มแหละ 10 แต่ขอหักไปหน่อยละกัน ถามว่าเพราะอะไร...เพราะอิจฉาพระเอกไงโว๊ยย5555 หยอกกกกกกกกก แนะนำให้มาดูจริงๆคนรักหนังไทยก็ต้องอุดหนุนดิเนอะ ไม่ดูไม่ได้แล้วหละ หนังไทยแหวกๆแบบนี้นานๆที่จะออกมาสักครั้ง หนังลุ้นดีนะ GDH ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ เตรียมร่ม เตรียมทิชชู่ ไปด้วยนะ ยิ่งฉากท้ายๆนี่มีพีคอะ ใครจะไปดูเช็ครอบให้ดีนะและรีบๆไปจองที่นั่งก่อน เพราะรอบที่ผมไปดูคนแน่นมาก นาคีว่าคนดูเยอะแล้วพอเรื่องนี้มาคือ คนนี่มาโรงหนังมากกว่าเดิม ในฐานะคนที่ชอบเสพหนังไทยรักหนังไทย และอยากรีวิวบอกต่อ บอกเลยว่าดีใจที่ได้ดูหนังดีๆแบบนี้ 






“น้องพี่ที่รัก” หนังไทยเรื่องใหม่จากค่าย GDH559 ผลงานของหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ “แฟนฉัน” “บอล -วิทยา ทองอยู่ยง” ซึ่งเคยมีผลงานแนวตลกที่สร้างได้ประทับใจเหลือเกินอย่าง “บ้านฉัน ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้)” ที่ในคราวนี้เหมือนจะมาแรงด้วยนักแสดงระดับแม่เหล็กอย่าง ญาญ่า - อุรัสยา เสปอร์บันด์, นิชคุณ หรเวชกุล และร่วมด้วยมือเก๋าสายตลกประจำค่ายอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ที่ทำให้น่าจะมั่นใจได้ว่า องค์ประกอบนี้ ไม่น่าจะทำให้ผู้ชมต้องผิดหวังใดๆ

     จากหนังตัวอย่าง ก็ยิ่งตอกย้ำว่า หนังน่าจะเน้นความตลกและบันเทิง จากความสัมพันธ์กวนๆ ในประเด็นเมื่อพี่ชายเข้ามายุ่มย่ามในความสัมพันธ์ของน้องสาวกับแฟนหนุ่ม เข้าข่ายพี่ชายหวงน้องสาว นั่นเอง แต่เอาเข้าจริงแล้ว หนังตัวอย่างสมัยนี้ บางที่ก็ไม่ควรเดาไปก่อน…

     ช่วงแรก หนังเปิดด้วยฉากที่ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะแนวของเพลง ที่ทำให้ผมสงสัยว่า ทำไม.. ต่อมาพอมีกีฬาเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็อีกนั่นแหล่ะ คำว่า ทำไม ลอยมาอีกเช่นเคย ส่วนความตลกนั้นก็ทำได้ดี และที่น่าสนใจก็คงจะเป็นความสัมพันธ์ของพี่ชาย น้องสาว ที่ตัวผมเองก็เป็นพี่ชายที่มีน้องสาวเช่นกัน อายุห่างกันเท่าในเรื่องเสียด้วย คงต้องลองดูกันต่อว่าจะทำงานกับคนอย่างผมหรือไม่

     ช่วงกลาง หนังดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้พอควร ก้าวเข้าไปสู่สังคมการทำงานที่ในชีวิตจริง ใครเจอสถานการณ์อย่างในหนัง ก็คงพูดไม่ออกไปเหมือนกัน ตรงช่วงกลางหนังทำได้ดีพอควร ความตลกลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังน่าติดตาม แต่ก็มีบางช่วงที่ผมไม่ค่อยชื่อสิ่งที่หนังพยายามบอกสักเท่าไหร่ อาจะเป็นเพราะประสบการณ์ของผมแตกต่างจากในหนังก็ได้

     ช่วงท้าย ตรงนี้หนังทำได้ดีในหลายๆมุม ยิ่งการตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวทำลงไป ก็จะยิ่งรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่หนังจงใจสรรสร้าง แถมพาไปไกลกว่าที่ผมคาดเดา ซึ่งยอมรับว่าตอนจบเกือบเรียกน้ำตาของผมได้เหมือนกัน ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีประสบการณ์ใดๆ คล้ายที่เกิดขึ้นในหนังก็ตาม ตรงนี้เป็นจุดขายของ บอล – วิทยา เลยล่ะครับ หัวเราะร่า น้ำตาริน แถมเป็นน้ำตาแห่งความประทับใจเสียด้วย

     ในด้านการแสดง ต้องยอมรับว่าญาญ่าและซันนี่ ดูเป็นพี่น้องกันจริงๆ แสดงได้เนียน ผมชอบที่อินเนอร์มันจมดี ไม่ล้นออกมา ลงตัวกับหนัง ส่วนนิชคุณ และนักแสดงท่านอื่นทำได้ดีตามมาตรฐานครับ สร้างให้มวลรวมของหนัง ดูออกมาอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง

      สิ่งหนังที่หนังเรื่องนี้ นำเสนอได้น่าสนใจมากคือ ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง ที่ผมเชื่อว่ามีอยู่มากมายในสังคมไทย ปมในวัยเด็กที่ไม่เคยจางหาย ความห่วงใยและหวังดีที่ขาดการบอกกล่าว อาจนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกันอย่างที่เป็นในหนัง แต่ระดับความประทับใจคงขึ้นกับประสบการณ์ของแต่ละคน แต่ผมชอบหนังตรงเรื่องนี้มากตรงที่ มันไม่ฟูมฟาย ซึ่งมันจะดูเลี่ยนไปเลยถ้าไปยัดบทพูดลงไปเยอะๆ เพราะความสัมพันธ์พี่น้อง คนทุกคนไม่ได้เลือกว่าใครจะเป็นพี่น้องกับใคร มีบุญคุณระหว่างกันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่หนังเลือกวิธีใช้ วิธีเล่า แต่ตอบคำถามคำที่ตอนต้นเรื่องผมนั่งถามใจว่า ทำไมๆ ได้ดีเหลือเกิน

      สิ่งที่ดูอ่อนลงไป ก็กลับจะไปกลายเป็นส่วนของความสัมพันธ์หนุ่มสาว ที่โดนเร่ง และโดน fade ไปจากหนังในช่วงท้าย ตรงนี้อาจจะไม่โดนใจคนที่อยากจิ้น อยากฟิน มากสักเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นความจำเป็นของหนัง ส่วนอีกด้านที่น่าแปลกไปกว่านั้น คือประเด็นจากใบปิดหนัง และตัวอย่างหนัง มันหายไปแบบแทบไม่รู้สึก ตรงนี้ไม่ได้ผิดอะไร แต่การที่สื่อสารออกไปอย่างหนึ่ง แต่ในหนังกลับเป็นอีกอย่าง ตรงนี้ผมมองว่ามันหลุดจากความคาดหวังของคนดูไปแน่ๆ

      สรุป – บอล - วิทยา ก็ยังคงทำหนังที่เน้นประเด็นความสัมพันธ์ของครอบครัว ซึ่งในรอบนี้เป็น พี่ชาย-น้องสาว ที่ทำออกมาได้ดีเช่นเคย แต่มันจะถูกใจคนกลุ่มใหญ่หรือเปล่า ตรงนี้คงเป็นคำถามที่ผู้ชมคงจะเป็นผู้ตอบ ส่วนคำตอบจะออกมาเหมือน “บ้านฉัน ตลกไว้ก่อนฯ” ที่คนดูออกมาแล้วบอกว่าดีมากๆๆๆ แต่ไม่ได้เงิน หรือได้รับกระแสตอบรับที่ดี ผมอยากให้เป็นแบบหลังนะ เพราะผู้กำกับคนนี้ทำหนังออกมาได้ดี อบอุ่น ประทับใจ ควรค่าแก่การรับชมครับ



[ รีวิวหนัง ] แสงกระสือ : Inhuman Kiss 


หนังไทยที่หยิบเอาเรื่องเล่าพื้นบ้านอย่าง "กระสือ" มาปัดฝุ่นเสียใหม่ และปรับเปลี่ยนมุมมองเรื่องราวที่มีแต่ความสยอง ใส่ความโรแมนติกรักต่างพันธุ์เข้าไปนิด และผสมความดราม่าเข้ามาอีกหน่อย จนออกมาเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ และเปลี่ยนมุมมองเดิมๆของเราที่มีต่อกระสือให้หันไปในทิศทางใหม่ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน..

🎬 ผู้กำกับ : “โดม” สิทธิศิริ (ที่เคยทำเรื่อง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย )

🎬 นักแสดงนำ : โอบ นิธิ วิวรรธนวรางค์ (น้อย), มินนี่ ภัณฑิรา พิพิธยากร (สาย), เกรท สพล อัศวมั่นคง (เจิด)

✳️ การรีวิวนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวหลังรับชม แต่ละคนอาจคิดเห็นและให้คะแนนต่างกันได้ นานาจิตตัง ท่องไว้

(+) เมื่อหนังเริ่มมาที่ซีนแรก และให้รู้จักกับตัวละครหลักทั้งสามในสมัยเด็ก สิ่งที่สัมผัสได้คือ ผกก.เก่งในการเลือกมุมกล้อง วางองค์ประกอบฉากได้ดี ทำให้เราเหมือนหลุดเข้าไปในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

(+) มีการปูปมเรื่องได้น่าสนใจตั้งแต่ บ้านร้างที่โคก ความลับของพระในวัด รวมถึงจุดประสงค์ของทีมปราบกระสือ ซึ่งก็ถือว่าวางปมและคลายปมได้ถูกจังหวะมาก สมกับที่ทำให้เราอยากรู้มาทั้งเรื่อง แล้วตอนเฉลยปมมันก็พีคจริงๆ สมกับที่ผูกมาตั้งนาน

(+) หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นหลอกตุ้งแช่แบบหนังผีไทยทั่วไป แค่ได้เห็นฉากกระสือถอดหัว บินโฉบไปมา ก็น่ากลัวเอาเรื่องแล้ว ยิ่งเห็นพวกไส้กองทะลัก สภาพศพเน่าเฟะ แผลเหวอะหวะ อยากคลานไปกราบคนทำพร็อพ เอ็งจะทำสมจริงไปหน๊ายย !!

(+) จุดที่ว้าวที่สุดก็เห็นจะเป็นการแสดงของสามตัวละครหลัก เล่นกันได้แบบโคตรสมจริงเคมีเข้ากันมาก ช่วงฟีลกู้ดหยอกล้อทำเอาหุบยิ้มไม่ลง ช่วงดราม่าก็จัดเต็มสะอื้นเรียกน้ำตาเต็มที่

ยิ่งตอนสายแปลงร่างเป็นกระสือนะ อื้อหืม กว่ะ ร่างกายบิดไปมา แขนขาเกร็งจิกลากเตียง ร้องเสียงหลงเหมือนจะขาดใจ ดูเจ็บปวดทรมานมาก

และที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือฉากจูบแลกลิ้นดูดปากโคสอัพซูมเน้นๆ ลิ้นไล่ตั้งแต่เพดานปากยันคอหอย บอกเลยว่าโคตรเร่าร้อนเหมือนหื่นกระหายกันมาแรมปี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อมินนี่ตามมานั่งคุมถึงกองถ่าย บางคนพูดขึ้นมาเลยว่า อี here กุอยากเป็นกระสือว่ะ 555
(+) หัวหน้าทีมปราบกระสือก็เล่นดีจนขนลุก อารมณ์พรานป่าที่ดูเก๋าๆ เฮลท์ๆ  ผสมกับความจิตและเสียงหัวเราะชวนเสียวไส้ แกเดินออกมาทีไรนี่แย่งซีนได้ทุกช็อตเลยทีเดียว
(+) ฉากต่อสู้ของกระหังท้ายเรื่องคือเจ๋งมาก ซีจีไม่ลอยเท่าไหร่ แถมแลกหมัดเหวี่ยงกันไปมาโคตรมันส์ ดูไปก็ลุ้นจิกเบาะไป แถมมีจากสู้กลางอากาศอีก พีคจนลืมว่านี่หนังไทย 
(+)หนังหยิบเอาเรื่องเล่าพื้นบ้านมาขยายต่อเป็นเรื่องเป็นราวได้ยังกะหลุดออกมาจากวรรณคดีนาค-พญาครุฑ ถึงเหตุผลเบื้องหลังมันจะเกร่อๆไม่ว้าวเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเกินความคาดหมาย
(+) เรื่องกราฟิกซีจีกล้าพูดเลยว่ากินขาดทุกหนังผีไทยในตอนนี้ ทำเอาว้าวไปได้หลายซีน ไม่ว่าจะเป็น กระสือถอดหัว ทุ่งว่านเรืองแสงที่โคก รวมถึงโมเดลกระหังท้ายเรื่อง เรียกได้ว่าทั้งเนียนตาและกล้าซูม ถึงบางจุดจะมีภาพซีจีเบลอๆแตกๆ และลอยเหมือนเอาภาพวาดมาซ้อน แต่โดยรวมถือว่าดีงามเลย
เอาล่ะครับ ชมกันมาเยอะ ทีนี้จะมาติข้อเสียกันบ้าง
(-) บทพูดที่ดูสคริปจ๋าเหลือเกิน ทำเอาการแสดงที่บิ๊วมาดิบดีเสียหมด ยิ่งช่วงโรแมนซ์แล้วพูดอะไรแปร่งๆ ออกมานี่เล่นเอาฟีลลิ่งชะงักไปเลย รวมถึงตอนคลายปมที่เล่นเล่าปากเปล่าออกมาดื้อๆ ไม่ให้คนดูค้นหาเองเท่าไหร่
(-) หนังตัดซีนตัดฉากไปมาบ่อยมาก และมันหั่นอารมณ์ที่บิ๊วมาดิบดีหายไปด้วย คือจะดีกว่านี้มากถ้าแต่ละเทคมันยาวกว่านี้
(-) บางจุดของหนังดูไม่ค่อยเม้กเซนซ์ในเรื่องไทม์ไลน์เวลา ปมบางอย่างที่ตัวละครนั้นไม่น่าจะรู้ได้ และเหตุผลแบบละครไทยจ๋าที่ทำให้หงุดหงิด
(-) ฉากจบเรื่องนี้ไม่ค่อยน่าปลื้ม แทนที่จะมีอะไรให้น่าจดจำ หรือทิ้งปมไว้สักหน่อยก็ยังดี แต่ดั๊นตัดจบไปซะแบบนั้น ร้อง เอ๊าาา กันลั่นโรงสิงานนี้



ในแวดวงหนังสือ เต๋อ นวพล เป็นที่รู้จักมาก่อนหน้าที่เขาจะเริ่มแบนสายมาทำภาพยนตร์ งานเขียนของเขามีสไตล์เฉพาะตัว คำจำกัดความที่ชัดเจนที่สุดคือ กวนทีน แต่อ่านแล้ว ฮา แถมได้สาระ แน่นอนว่าเขาได้นำทักษะดังกล่าวมาต่อยอดเป็นการเขียนบทได้อย่างดี ส่วนตัวเคยอ่านหนังสือของเขาสองสามเล่ม ขณะที่งานภาพยนตร์มีโอกาสผ่านตาหนังสั้นรวมถึงเอ็มวีหลายๆตัวที่เขากำกับ สำหรับ MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY ดูจบแล้วยอมรับว่าไม่ค่อยอินนัก พอมาถึง ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ แม้กระแสจะดีมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังไปก่อน 


ฟรีแลนซ์ฯ ใช้เวลาถ่ายทำเพียง16วัน ทุนสร้างแค่16ล้านบาท สมเหตุผลกับ หนังแมสเรื่องแรกของ เต๋อ นวพล และ หนังอินดี้เรื่องแรกของ GTH ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ตรงของ เต๋อ ผู้กำกับที่เคยไปโรงพยาบาลแล้วพบหมอสาววัยไล่เลี่ยกัน บทสนทนาในวั้นนั้นทำให้เขารู้สึกเขิน ไอเดียเล็กๆนี้ถูกนำมาขยายต่อเป็นหนังใหญ่ โดยดึงเอา ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ กับ ดาวิกา โฮร์เน่ มารับบทเป็นคนไข้หนุ่มกับคุณหมอสาว


ยุ่น (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ชายวัย 30 มีอาชีพเป็นมือรีทัชขั้นเทพ รับงานฟรีแลนซ์ ซึ่งมี เจ๋ (วิโอเลต วอเทียร์) โปรดิวเซอร์รุ่นน้องคอยส่งและตามงาน ยุ่น เป็นคนบ้างานบวกกับชอบอดนอนทำงานข้ามวันข้ามคืน สถิติที่เขาเคยทำได้คือไม่หลับนาน5วัน กระทั่งวันหนึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อ ยุ่น มีตุ่มผื่นคันขึ้นตามร่างกาย ด้วยความงกเขาเลือกไปรักษาที่โรงพบายาลรัฐ ที่นั่นเองที่เขาได้พบกับ หมออิม (ดาวิกา โฮร์เน่) แพทย์สาวไฟแรงคนสวยผู้หวังอยากให้คนไข้หายป่วย เธอแนะนำให้เขา เข้านอนเร็ว ออกกำลังกาย และ เดินทางพักผ่อน หลังพบ หมออิม แล้ว ยุ่น ก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งบางทีอาจไม่ใช่เพื่อตัวเขา แต่เป็นเพื่อเธอ


บทหนังถ่ายทอดชีวิตของคนบ้างานและโลกของคนชอบอดนอนได้น่าสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแข่งกันไม่หลับ แถมยังเอามาโพสต์อวดคนอื่นอย่างภาคภูมิใจ  เราได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของอาชีพฟรีแลนซ์ที่ไม่ได้อิสระหรือสบาย ซึ่งขัดแย้งกับภาพที่เด็กรุ่นใหม่ในสังคมไทยจินตนาการ จุดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ ยุ่น ในวัย30กว่าเป็นคนที่มีบุคลิกเหมือนคน Gen X มีความรับผิดชอบสูง อึด ถึก ทน ทุ่มเท สู้ทุกเดดไลน์ พร้อมตายคางาน ชีวิตของเขาว่างเปล่า โดดเดี่ยว จนน่าสงสาร ยุ่นอาจะเป็นคนสุดโต่งไปหน่อย แต่ก็สะท้อนคำพูดที่ว่า ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ออกมาได้หม่นเศร้าดี


ตัวหนังแฝงประเด็นสังคมหลายอย่าง ทั้ง ค่าใช้จ่ายสุดแพงในโรงพยาบาลเอกชน คิวยาวเหยียดในโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งบ่งบอกถึงความล้มเหลวของสวัสดิการพื้นฐานในประเทศนี้ โดยมี ยุ่น เป็นตัวแทนคนที่อยู่นอกระบบประกันสังคม เพราะไม่ได้ทำงานประจำ(ภาพ ซันนี่ มีป้าย ผู้ป่วยนอก จึงสามารถนำมาตีความได้) ผู้มีรายได้น้อยต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับการรอคิว ก่อนจะได้พบแพทย์แค่ไม่กี่นาที แต่ในทางกลับกันหนังก็ได้เปลี่ยนอารมณ์การพบหมอที่เป็นเรื่องซีเรียส น่ากลัว ให้กลับดูรื่นรมย์ขึ้น เมื่อคนไข้หนุ่มแอบชอบคุณหมอสาว 


ไม่เฉพาะ ฟรีแลนซ์ หนังพูดถึงภาพรวมของคนทำงาน โดยเอาตัวละคร หมออิม เป็นตัวแทนของหมอในโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีงานล้นมือ ซํ้ายังเป็นเด็กจบใหม่ แน่นอนว่าด้วยเพศสภาพและวัยวุฒิ เธอคงได้รับความกดดันพอสมควร คำพูดทีเล่นทีจริงของหมอหนุ่มอีกคนที่บอกว่าหมออิมคนสวยคนไข้หลายคนไม่ยอมหาย มองได้ทั้งเป็นการแซวเล่น จนถึงการดูหมิ่นความสามารถในการรักษาคนไข้ของเธอ ทำให้มีฉากหนึ่งที่เธอเอ่ยปากจากความน้อยใจให้ ยุ่น เปลี่ยนหมอ แน่นอนว่าค่านิยมในสังคมไทยให้การยอมรับอาจารย์หมอแก่ๆมากกว่าหมอจบใหม่


ด้านความสัมพันธ์ของ ยุ่น กับ หมออิม หนังทำออกมาได้กลมกล่อม บทสนทนาในห้องคนไข้เดือนละครั้ง ไม่ว่าจะ การเถียงกัน หยอกล้อกัน โกรธกัน งอนกัน ง้อกัน อดทำให้เราคิดว่าเป็นบทสนทนาของคู่รักไม่ได้ เช่นเดียวกับ เจ๋ รุ่นน้อง ยุ่น ที่มีหน้าที่คล้ายเป็นโคโปรเจกต์มากกว่า เธอทำให้เรานึกถึงคนทวงต้นฉบับการ์ตูนหรือนิยายของญี่ปุ่น ส่วนแฟนของ เจ๋ เป็นตัวแทนของคนในอาชีพข้าราชการซึ่งถูกนำมายั่วล้อเบาๆ สำหรับ พี่เป้ง เป็นตัวแทนของเหยี่ยวร้ายในสังคมการทำงานที่เปลือกนอกดูเป็นมิตร น่านับถือ ทว่าเบื้องหลังคอยเอาเปรียบ จ้องหาประโยชน์จากคนอื่นตลอด 


ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ช่วงแรกมีดนตรีประกอบที่โดดเด่นด้วยเสียง กลอง สแนร์ กับ เครื่องเป่า ฟังแล้วนึกถึงหนังเรื่อง Birdman ทันที สร้างจังหวะเข้ากับความคิดในหัวของ ยุ่น แบบลงตัว หนังมีลายเซ็นต์ของ เต๋อ ชัดเจน ทั้งมุมกล้องแบบ Hand-Held ฉาก Long take เจ๋งๆ ตัวละครตลกหน้าตาย และ ซีนตลกร้าย มีการซ่อนแมสเสจต่างๆไว้กับตัวละครและฉาก อาทิ เสื้อยืดของยุ่น โปสเตอร์วินดีเซลในยิม พี่สุชาติ วินมอเตอร์ไซด์ประจำตัวของเจ๋ แบ็คกราวด์ศาลเจ้าพ่อที่มีคนมาถวายม้าลายในฉากที่ ยุ่น ยืนคุยกับ หมออิม ตอนท้ายหนังพูดถึงความสุขในชีวิต แม้จะใหญ่เกินตัวไปสักหน่อยทว่าก็มีความกล้านำเสนอในแนวทางที่แปลกใหม่ ชอบที่หนังทำให้ตุ่มผื่นเป็นเหมือนเพื่อนของยุ่น มันคือสิ่งที่ทำให้เขาได้พบหมออิม เขายอมฝืนกินยาที่ทำให้เสียงาน แต่ก็ไม่อยากหาย ขณะที่ยุ่นก็คืองานของหมออิมเช่นกัน การทำให้เขาหายป่วยเป็นหน้าที่ของเธอ จุดนี้คือความย้อนแย้งซับซ้อนที่ตัวละครต้องเผชิญ


ซันนี่ เล่นดีมาก ดูเป็นตัวเองที่สุดในหนัง กับการแสดงอารมณ์ที่หลายหลาย การพากย์เสียงในหัวก็โดดเด่น ที่สำคัญเขาทำให้คนดูเชื่อว่าเป็นกราฟฟิกมืออาชีพจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำท่าจับปากกาหรือขยับเมาส์ไปมา ใหม่ ดาวิกา ต่างจากเรื่องที่ผ่านมา แม้การแสดงจะดูเป็นธรรมชาติ แต่ยังไม่สามารถทำให้ผู้ชมเชื่อได้ว่าเธอเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลรัฐ(เอกชนพอไหว) ทว่าข้อดีก็คือเธอมีความเข้าขากับซันนี่ การดีเบตกันของ ยุ่น กับ หมออิม ในคอกแคบๆจึงดูสนุก ราวกับเป็นการถกเถียงกันของ เด็กสายศิลป์ กับ เด็กสายวิทย์ หรือระหว่าง อารมณ์ กับ เหตุผล


พวกเขาเจอกันด้วยโรคประหลาด การมาพบกันทุกเดือนยาวนานเกือบปีจึงไม่น่าแปลก แน่นอนคุณคงแอบสงสัยว่า คนไข้ หมอ หรือทั้งคู่ จงใจเลี้ยงไข้เพื่อที่จะได้พบกันอีก บอกยากว่าใช่ความรักหรือไม่ เหล่านี้เป็นความโรแมนติกน้อยๆที่ซ่อนอยู่ในความจริงจังของหนัง อีกคนที่เด่นคือ วิ วิโอเลต ในบท เจ๋ เคมีของเธอเข้ากับ ซันนี่ สุดๆ เป็นคู่หูการทำงาน คู่ซี้ พี่น้อง ที่บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ว่า ยุ่น มอง เจ๋ ในฐานะอื่นบ้างรึเปล่า 


หนังมีการนำเสนอแบบราบเรียบ ดำเนินเรื่องไม่หวือหวา ออกแนวเหงาๆ ภาพรวมเป็นหนังอินเตอร์มากๆ ประสบการณ์ร่วมในบางฉากอาจเชื่อมโยงผู้ชมได้ ถึงจะดูไม่ยาก แต่มันก็ไม่ได้แมสขนาดเข้าถึงคนทุกกลุ่มหรือทำให้ผู้ชมทุกคนเข้าใจเนื้อหาได้ทั้งหมด สิ่งที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นแนวคิดการหาสมดุลของชีวิตที่ คุณสามารถมีความสุขกับการทำงาน ไปพร้อมๆกับมีความสุขในการใช้ชีวิตได้

.

3 ความคิดเห็น:

gdh

พ.ศ. 2558–2559 : เปิดตัวในนาม GDH จีดีเอช เกิดขึ้นจากการร่วมทุนระหว่าง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท หับ โห้ หิ้น บ...